
ต่อเล็บ เป็นอีกหนึ่งรูปแบบความงามที่คุณผู้หญิงหลายๆ คนชื่นชอบ เพราะมันสามารถที่จะทำให้เล็บของคุณสวยได้ตามที่ต้องการ สามารถเนรมิตเป็นรูปทรงอะไรก็ได้ตามที่ตั้งใจ แถมในปัจจุบันนี้…เทคโนโลยีการต่อเล็บ ยังมีความแข็งแรง สวยงาม หลากหลาย และราคาไม่แพงจนเกินไป
หากใครสนใจอยากจะ ต่อเล็บ จำเป็นจะต้องรู้ว่าวิธีในการต่อเล็บในปัจจุบันมีอะไรบ้าง และแต่ละแบบแตกต่างกันอย่างไร เหมาะสมกับใคร เพื่อที่จะเลือกการต่อเล็บในแบบที่ตัวเองชอบได้มากที่สุด
ประเภทของการ ต่อเล็บ
1 การต่อเล็บแบบ PVC

เป็นวิธีการต่อเล็บที่ง่ายที่สุด คุณสามารถทำเองได้ด้วยซ้ำ และใช้เวลาในการต่อไม่นาน วิธีนี้มักจะนำเอาเล็บที่ขึ้นรูปแล้วด้วยพลาสติกชนิด PVC มาต่อกับเล็บจริงๆ ของเรา โดยจะต้องมีส่วนกลางของเล็บที่หนาเล็กน้อยเพื่อพยุงไม่ให้เล็บหัก และปลายเล็บจะต้องบางเล็กน้อยเพื่อให้เล็บมีความสมจริง
การต่อเล็บในรูปแบบนี้จะต้องเริ่มจากการวัดขนาดของเล็บตามที่เราต้องการก่อน จากนั้นจึงติด PVC ลงไปที่เล็บจริงด้วยกาวที่ใช้สำหรับติดเล็บโดยเฉพาะ ตามด้วยการค่อยๆตะไบแต่งทรง หรือทาสีเล็บตามที่ต้องการ
อายุการใช้งานของเล็บ PVC ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ถ้ามือของคุณโดนน้ำบ่อยๆ ก็จะทำให้เล็บประเภทนี้เสื่อมได้เร็วมากขึ้น แต่โดยทั่วๆไปแล้วคนที่ต่อเล็บแบบ PVC จะมีอายุการใช้งานประมาณ 1-2 สัปดาห์
ข้อดีของการต่อเล็บแบบนี้คือ ราคาถูก ใช้เวลาในการทำไม่นาน และเหมาะสำหรับคนที่ไม่ได้มีเวลาในการทำเล็บมาก แต่ต้องการต่อเล็บเพื่อไปออกงานสำคัญในบางช่วงเวลาเท่านั้น
ส่วนข้อเสียของการต่อเล็บแบบ PVC ก็คือ เล็บจะไม่แนบสนิทกับเล็บจริง ทำให้หลุดง่าย และหากดูแลไม่ดี ใช้กาวที่ไม่มีมาตรฐาน ก็มีโอกาสที่จะเป็นเชื้อราได้ง่าย และหากตอนนำเล็บออกทำไม่ถูกวิธี ก็จะทำให้ผิวเล็บจริงๆ ถูกทำลายไปด้วย
2 การต่อเล็บสำเร็จรูป

วิธีนี้จะเป็นการต่อเล็บชั่วคราวเหมือนและมีรายละเอียดเหมือนกับการต่อแบบ PVC เพียงแต่ว่าเล็บสำเร็จรูปจะมีการออกแบบรูปลวดลายมาแล้ว ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาในการทาสีหรือเพ้นท์เล็บอีก และสามารถทำได้เองโดยไม่ต้องเข้าร้านทำเล็บเลย
ข้อดีของการต่อเล็บแบบนี้ ก็คือ ราคาไม่แพง และสามารถเลือกลวดลายได้หลายแบบ อีกทั้ง ยังไม่ต้องใช้เวลาในการต่อเล็บนานด้วย
แต่ข้อเสียของมันก็คือ บางลวดลายที่เราต้องการอาจจะไม่ได้พอเหมาะพอดีกับเล็บของเราจริงๆ ทำให้จำเป็นจะต้องมีการตะไบออก และเมื่อตะไบออกไป อาจจะทำให้ลวดลายที่เพ้นท์เอาไว้เสียหายไปด้วย รวมไปถึงมีข้อเสียอื่นๆคล้ายคลึงกับการต่อในแบบ PVC
3 การต่อเล็บแบบอะคริลิค

เป็นวิธีที่นิยมค่อนข้างมาก เพราะการต่อเล็บประเภทนี้มีความสวยงามและคงทนมากกว่าทุกแบบ วิธีการต่อเล็บจะเริ่มต้นจากการทำความสะอาดและฆ่าเชื้อที่เล็บก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเชื้อราในระหว่างการใช้งาน
จากนั้นจะต้องใช้อุปกรณ์แบบเฉพาะติดไปที่หน้าเล็บเพื่อเพิ่มการยึดเกาะของเล็บ และกำหนดความยาวของเล็บตามที่ต้องการ จากนั้น จึงมีการเคลือบเจลไว้ด้านบน เพื่อป้องกันรอยขีดข่วน รวมไปถึงการตะไบและทาสีตามที่ออกแบบเอาไว้
การต่อเล็บแบบอะคริลิคมีข้อดี คือ เล็บที่ได้จะเป็นธรรมชาติมากกว่า และสามารถอยู่ได้นานถึง 3-4 สัปดาห์ เมื่อเล็บยาวขึ้น ก็สามารถที่จะเติมโคนได้ด้วย อีกทั้งยังสามารถเติมแต่งสีสันได้อย่างอิสระด้วยเทคโนโลยีต่างๆ
แต่ข้อเสียของมัน ก็คือ ราคาที่แพงกว่าสองแบบแรก ใช้เวลาทำนาน และขณะทำจะมีกลิ่นฉุน ที่สำคัญ…วิธีนี้จำเป็นจะต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญในการทำโดยเฉพาะ เพราะถ้ามันไม่ใส่ใจในกระบวนการทำที่ดี อาจจะทำให้เกิดเชื้อราได้
4 การต่อเล็บโพลี่เจล

การต่อเล็บโพลี่เจล เป็นการต่อเล็บที่ได้รับความนิยมมากที่สุด และเป็นวิธีที่ได้รับการพัฒนามาจากการต่อเล็บแบบอะคริลิค เพื่อให้มีประสิทธิภาพในการต่อเล็บที่มากขึ้น วิธีนี้จะมีการอบด้วยแสง เพื่อทำให้เจลแข็งตัว เงางาม และมีน้ำหนักเบากว่าแบบอะคริลิค ที่สำคัญตอนถอดก็ยังถอดได้ง่ายกว่า แต่อาจจะไม่ได้แข็งแรงเท่ากับแบบอะคริลิค
ข้อดีของการต่อเล็บแบบโพลีเจล คือ เล็บจะมีความยืดหยุ่นใกล้เคียงกับเล็บจริงมากที่สุด และไม่มีกลิ่นฉุนเวลาที่ต่อเล็บ อีกทั้งยังมีความมันเงาแวววาว แบบที่ผู้หญิงอย่างเราชื่นชอบ
ส่วนข้อเสีย ก็คือ การต่อเล็บแบบนี้ไม่ได้มีความทนทานเท่ากับแบบอะคริลิค รวมไปถึงราคาที่สูงกว่าการต่อเล็บแบบอื่นๆ และจำเป็นต้องทำกับช่างทำเล็บที่มีความเชี่ยวชาญเพียงพอ เพื่อป้องกันโอกาสที่เล็บที่ต่อจะหลุด
การต่อเล็บทั้งสี่แบบขึ้นมีความแตกต่างกันออกไป จะเลือกแบบไหนก็ขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละบุคคล และโอกาสในการใช้งาน แต่ถึงแม้จะต่อเล็บแบบไหน ก็ต้องรู้จักวิธีการในการดูแลเล็บอย่างถูกต้องด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้เล็บหัก เล็บหลุดลอก หรือเล็บเสื่อมลง รวมไปถึงการทำตามคำแนะนำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อช่วยให้เล็บที่ต่อเอาไว้มีอายุยืนยาวมากขึ้น และมีคุณภาพดีอย่างที่ต้องการ
อ่านบทความ 20 ไอเดีย เล็บเจลสวยๆ
อ้างอิง